AI กับธุรกิจและการทำงาน: ปฏิวัติองค์กรด้วยปัญญาประดิษฐ์

Riki Kimura
Digital Marketing Executive at Wisible

ผมยังจำได้ดีครั้งแรกที่บริษัทเราเริ่มพูดถึง AI ไม่ใช่แค่ในงานประชุมผู้บริหาร แต่ในส่วนของการปฏิบัติจริง ทีมผมต้องรับผิดชอบโปรเจกต์ที่จะใช้ AI มาช่วยคัดกรองใบสั่งซื้อจากลูกค้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ก่อนหน้านั้นเรามีระบบ ERP กับ CRM อยู่แล้ว แต่ข้อมูลมักไม่ตรงกัน ต้องใช้คนมานั่งคลิกตรวจสอบ แก้ไขไฟล์ Excel กันวุ่นวายทุกวัน
เริ่มจาก “ปัญหาจุกจิก” ที่ใครก็เข้าใจ
ทุกเช้า ทีมเซลล์จะเปิด CRM ดูว่ามีลูกค้ารายไหนส่งอีเมลเข้ามา สลับมากดดูสเตตัสใน ERP พอเลิกประชุมเช้า ก็มีงานใหม่ให้มานั่งเช็คว่าออเดอร์ของวานนี้ชำระเงินแล้วหรือยัง นั่นทำให้เราเสียเวลาประมาณ 2–3 ชั่วโมงต่อวัน หากรวมกันทั้งทีม บางเดือนเสียเวลาไปเกือบสัปดาห์! ผมจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าเราให้ AI มาช่วยกรองงานเชิงธุรการเหล่านี้ เราจะได้โฟกัสกับลูกค้าและกลยุทธ์ได้มากขึ้นไหม?”
ปล่อยให้ AI ทำงานซ้ำซาก
พอได้ลองนำโมเดล Machine Learning มาทำ Predictive Analytics ในโปรเจกต์ทดลอง เราใช้ข้อมูลประวัติการสั่งซื้อย้อนหลัง 3 ปี มาป้อนให้โมเดลเรียนรู้ สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือ AI สามารถบอกได้เลยว่า “ลูกค้ารายนี้น่าจะสั่งซ้ำภายใน 60 วัน” หรือ “ออเดอร์ของคุณ ก. มีโอกาสค้างชำระสูง” แค่ประโยคนี้ช่วยลดงานเช็กซ้ำซ้อนลงไปครึ่งต่อครึ่ง ยิ่งตอนเรานำไปต่อยอดสู่ Prescriptive Analytics ที่ให้ AI แนะนำว่าควรส่งอีเมลเตือนหรือโทรหาใครก่อนดี ก็ยิ่งสร้างประโยชน์

เมื่อ AI ต่อยอดเป็น “ผู้ช่วยวิเคราะห์”
หลังจากนั้น ทีมผมได้ขยายขอบเขตไปใช้ Generative AI เล็กๆ น้อยๆ เพื่อเขียนร่างอีเมลส่งโปรโมชั่นให้ลูกค้าเก่าแบบอัตโนมัติ แต่ละร่างมีน้ำเสียงที่ต่างกันตามเซ็กเมนต์ เช่น ลูกค้าองค์กรเน้นเนื้อหาเคสสตัดดี้ ลูกค้ารายย่อยเน้นส่วนลดพิเศษ ผลลัพธ์คือเราไม่ต้องมานั่งนึกเองให้เมื่อยสมอง แถมอัตราการเปิดอีเมล (Open Rate) ดีขึ้นเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับก่อนใช้ AI
ประโยชน์ที่จับต้องได้
ลดเวลาทำงานเชิงธุรการ
จากเดิมที่ใช้คนคัดกรองข้อมูล คราวนี้ AI ช่วยกรองให้เราอัตโนมัติ ทำให้ทีมมีเวลาไปคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ แทนการมานั่งคลิกเมนูซ้ำ
ตัดสินใจเร็วและแม่นยำขึ้น
ด้วยข้อมูลเรียลไทม์จาก Dashboard ที่ AI คำนวณตัวเลขยอดขายคาดการณ์และโอกาสซื้อซ้ำ (Recurring Revenue) เราปรับงบโฆษณาหรือวางแผนสต็อกสินค้าได้ทันสถานการณ์

Upskill ทีมงาน
เพราะไม่ต้องเสียเวลาทำงานซ้ำซาก พนักงานจึงได้มีโอกาสเรียนรู้การทำ Data Analysis เบื้องต้น และเข้าใจว่าแต่ละโมเดล AI ตัดสินใจยังไง สร้างความโปร่งใสให้ทุกคนยอมรับ
ข้อควรระวังที่ต้องเตรียมรับมือ
แม้ AI จะทรงพลัง แต่ก็ต้องมีการวางแผนให้ดี ผมเห็นหลายองค์กรไปไม่รอดเพราะ
- ข้อมูลไม่พร้อม: ถ้าข้อมูลลูกค้ายังกรอกไม่ครบ ขาดประวัติการซื้อ หรือมีค่าสวนทางกัน AI จะเรียนรู้ผิดพลาด
- โมเดลไม่มีใครดูแล: ฝรั่งเรียกว่า Model Drift พอเวลาผ่านไป พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน โมเดลก็ล้าหลัง ถ้าไม่รีเทรนก็พังได้
- ขาดส่วนร่วมของผู้ใช้ปลายทาง: ทีมขายไม่กล้าใช้เพราะไม่เข้าใจกลไก ต้องมี Training ให้เข้าใจก่อนใช้งานจริง
เคล็ดไม่ลับเมื่อจะเอา AI มาใช้กับองค์กร
เริ่มจาก Pain Point ชัดเจน
อย่าเพิ่งอ้างว่า “จะใช้ AI ทุกอย่าง” ให้เริ่มจากงานที่กินเวลาเยอะที่สุด หรือมีข้อผิดพลาดบ่อย เช่น การคัดกรองออเดอร์ หรือติดตามการชำระเงิน
ตั้งทีมข้ามสายงาน
ผมชอบประกาศรวมทีม Marketing, Sales, และ IT มานั่งแชร์กันตั้งแต่แรก ทุกคนจะได้เข้าใจตรงกันว่าจะเอา AI ไปใช้อย่างไร
วัดผลแล้วปรับปรุงต่อเนื่อง
อย่าลืมตั้ง KPI ชัดๆ ว่า AI ช่วยลดเวลางานได้กี่ชั่วโมง หรือเพิ่มยอดซื้อซ้ำได้กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วคอยติดตามผลเพื่อ Tune โมเดลต่อ
สร้างวัฒนธรรม AI-Ready
ทุกฝ่ายต้องรู้ว่า AI ไม่ได้มาแทนคน แต่มาเป็นผู้ช่วย พอยอมรับตรงนี้ การนำไปใช้จริงก็ง่ายขึ้น
หลายคนยังกลัวว่าเมื่อเอา AI เข้ามาแล้ว คนจะตกงาน แต่จากประสบการณ์ตรง ผมกลับยืนยันว่า AI ช่วยให้เราทำงานได้มีคุณค่า และโฟกัสกับเรื่องที่ต้องใช้หัวและหัวใจมากกว่าแค่การคลิกข้อมูล ซ้ำเดิมไปวันๆ AI จึงไม่ใช่งานอดิเรกไอที แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่จะปั้นองค์กรให้แข็งแกร่งขึ้นในยุคที่ข้อมูลเป็นสินทรัพย์ล้ำค่า
“AI อาจจะฉลาด แต่อย่าลืมว่าเรายังต้องใช้วิจารณญาณและหัวใจของมนุษย์ตัดสินใจเสมอ”
ลองมองหา “จังหวะทอง” ในองค์กรของคุณ แล้วให้ AI เป็นผู้ช่วย เปิดทางให้ทีมโฟกัสกับเรื่องที่สร้างคุณค่าและนวัตกรรมได้อย่างเต็มที่ครับ!